รับฝากข่าว

ข่าวประชาสัมพันธ์

เจ้าของธุรกิจต้องรู้! เลือก E-commerce Solution Provider อย่างไรให้ปัง

ปัจจุบันตลาดการค้าในโลกออนไลน์กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดดเพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าผู้ใช้งานที่กำลังขยายตัว การไม่หยุดที่จะปรับตัวให้ทันต่อไลฟ์สไตล์และความต้องการของผู้บริโภคจะช่วยให้ธุรกิจอยู่รอดอย่างยั่งยืน การเปิดร้านค้าออนไลน์ด้วยระบบ E-commerce Solutions คือตัวช่วยสำคัญในการสร้างยอดขาย การบริหารจัดการอย่างครบวงจรให้กับธุรกิจ และจะกลายเป็นช่องทางหลักที่ใช้ซื้อขายสินค้าและบริการให้ฐานลูกค้าออนไลน์ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นในอนาคต อย่างไรก็ตามการเลือกผู้ให้บริการ E-commerce Solutions เพื่อมาวางรากฐานโครงสร้างที่จำเป็นจะช่วยผลักธุรกิจออนไลน์ของคุณให้ประสบความสำเร็จ บทความนี้จะแนะนำวิธีพิจารณาคู่หู E-commerce Solutions อย่างไรให้ปัง

1.เข้าใจความต้องการของธุรกิจ

อันดับแรกคุณจำเป็นต้องเข้าใจธุรกิจตัวเองอย่างท่องแท้และรู้ว่า E-commerce Solutions จะมาเติมเต็มธุรกิจของคุณในด้านใดบ้าง ลองทำลิสต์เป้าหมายของธุรกิจคร่าวๆและมองหาผู้ให้บริการที่จะสามารถช่วยเหลือและตอบโจทย์ของคุณ เช่น คุณกำลังเจาะกลุ่มตลาดแบบใด B2C หรือ B2B จะใช้รูปแบบการให้บริการ Cloud แบบไหน วิธีการออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์ รวมไปถึงการบริหารจัดการระบบหลังบ้านที่ต้องการ

2.โซลูชั่นเข้ากับระบบที่มีได้

หลายธุรกิจที่เพิ่งเริ่มต้นสามารถมองหาโซลูชั่นที่ปรารถนาได้ไม่ยาก แต่สำหรับธุรกิจที่มีการลงทุนทรัพยากร IT Infrastructure ในมือบ้างแล้วควรตั้งคำถามกับตัวเองว่าการรื้อสิ่งที่มีอยู่และการประยุกต์ใช้สิ่งที่มีกับสิ่งใหม่ อะไรจะสร้างประโยชน์ในระยะยาวได้มากกว่ากัน คุ้มค่าในการลงทุนหรือไม่ การมองหาผู้ให้บริการที่มีโซลูชั่นที่เข้ากันได้ดีกับระบบปัจจุบันอาจช่วยลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจได้เช่นกัน

3.ผู้ให้บริการมีความเชี่ยวชาญแบบบูรณาการ

การจะปั้นระบบ E-commerce ให้ประสบความสำเร็จ ต้องใช้ส่วนผสมหลายอย่างร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นด้านการออกแบบและพัฒนา การวางกลยุทธ์ด้านการตลาด การบริหารจัดการทรัพยากรอย่างเหมาะสม การสร้างประสบการณ์ให้ผู้ใช้งาน รวมไปถึงการสร้างความปลอดภัยให้เว็บไซต์ หากผู้ให้บริการอีคอมเมิร์ซโซลูชั่นสามารถให้คำปรึกษาธุรกิจได้อย่างครอบคลุม พร้อมให้ความช่วยเหลือในการแก้ปัญหาต่างๆตั้งแต่เริ่มจนจบ มีการเทรนการใช้งาน จะยิ่งส่งเสริมศักยภาพของธุรกิจให้เติบโตได้อย่างรวดเร็ว

4.วัฒนธรรมการทำงานที่เข้ากัน

การเลือกผู้ให้บริการก็เหมือนการเลือกคู่หูในการทำงาน การมีวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงหรือเข้ากันได้ดี ทำงานได้อย่างเป็นมืออาชีพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสื่อสารระหว่างทีมที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น เข้าใจเป้าหมายได้ตรงกัน และส่งมอบผลลัพธ์ที่ตรงตามความต้องการของธุรกิจ

5.การคิดค่าบริการ

ควรเลือกผู้ให้บริการที่มีการแจกแจงค่าบริการแบบละเอียด หรือหากมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่จำเป็นที่ต่อการส่งเสริมธุรกิจให้ดีขึ้นควรมีการแจ้งให้เจ้าของธุรกิจทราบก่อนเพื่อให้เราสามารถวางแผนค่าใช้จ่ายตลอดการรับบริการ โครงสร้างราคาค่าใช้จ่ายของแต่ละเจ้าอาจไม่ตายตัวแน่นอน เจ้าของธุรกิจจึงควรเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายและสิ่งที่คาดว่าจะได้รับในหลายๆตัวเลือก เพื่อเลือกสิ่งที่ตอบโจทย์และสร้างความคุ้มค่าให้ธุรกิจมากที่สุด